วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

ข้อมูลทั่วไป


อำเภอปง

ที่ตั้งและอาณาเขต 
   ทิศเหนือติดต่อกับอำเภอจุนและอำเภอเชียงคำ
   ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอสองแควและอำเภอท่าวังผา (จังหวัดน่าน)
   ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอดอกคำใต้และอำเภอจุน
   ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอเมืองน่าน (จังหวัดน่าน) และอำเภอเชียงม่วน



แผนที่จังหวัดพะเยา
 ลักษณะภูมิประเทศ
      ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปล้อมรอบไปด้วยเทือกเขา ทั้งด้านตะวันออก ด้านตะวันตก ด้านใต้ และตอนกลางของจังหวัด เทือกเขาเหล่านี้จะทอดตัวเป็นแนวยาวจากเหนือลงใต้ มีที่ราบเหมาะแก่การเพาะปลูกอยู่สองข้างเทือกเขาและระหว่างลำน้ำ มีเนื้อที่ภูเขาสูงและสูงมากที่สุด ประมาณร้อยละ 47 ของพื้นที่จังหวัด มีพื้นที่เนินเขาผสมที่ราบ ประมาณร้อยละ 35 และมีที่ราบลุ่มน้อยที่สุด ประมาณร้อยละ 18 เท่านั้น   ระดับความสูงของพื้นที่จังหวัดพะเยา มีความสูงระหว่าง 300 - 1,550 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยมีเทือกเขาสูงอยู่ทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณอำเภอเชียงคำ อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน ทิศตะวันตกของอำเภอเมืองพะเยา และอำเภอแม่ใจ เทือกเขาเหล่านี้ทอดตัวในแนวเหนือ - ใต้ ขนานไปกับที่สูงตอนกลางที่ค่อย ๆ เทลาดลงสู่ที่ราบบริเวณ อำเภอจุน อำเภอแม่ใจ อำเภอดอกคำใต้ และอำเภอเมืองพะเยา โดยมีเส้นขั้นระดับความสูง ไล่ระดับ ตั้งแต่ 300 - 500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางสำหรับบริเวณที่ราบลุ่มและที่ลุ่ม ระดับตั้งแต่ 500 - 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางสำหรับที่ลาดเชิงเขา และระดับตั้งแต่ 1,000 - 1,550 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางสำหรับที่ราบสูงและภูเขา ในพื้นที่ของจังหวัดพะเยานี้มีบริเวณที่ราบสูงเป็นพื้นที่ที่สำคัญ ได้แก่ บริเวณที่ราบสูงตอนกลางของจังหวัดพะเยา ในเขตอำเภอดอกคำใต้ อำเภอจุน อำเภอปง ที่ประกอบไปด้วยเทือกเขาหลายเทือกเขาอันเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย เทือกเขาที่สำคัญ ได้แก่ ดอยภูลังกา ซึ่งมีระดับความสูง 1,098 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง และดอยสันปันน้ำในเขตอำเภอปง ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำยม



อาชีพ
     อาชีพส่วนใหญ่ของประชาชน ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ทำสวน พืชที่ทำการเพาะปลูก เช่น ข้าวโพดสัตว์ข้าวโพดฝักอ่อน, ผักกาดเขียวปลียาสูบพื้นบ้าน, ยาสูบเวอร์จีเนีย ถั่วแระญี่ปุ่นหรือ ถั่วเหลืองฝักสด เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีอาชีพรับจ้าง, อาชีพค้าขายและอาชีพรับราชการอีกบางส่วน  
ไร่ข้าวโพด

นาข้าว
การปกครองส่วนภูมิภาค
อำเภอปงแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 7 ตำบล 88 หมู่บ้าน ได้แก

  • ตำบลปง
  • ตำบลควร
  • ตำบลงิม
  • ตำบลนาปรัง
  • ตำบลขุนควร
  • ตำบลออย
  • ตำบลผาช้างน้อย

การปกครองส่วนท้องถิ่น
 ท้องที่อำเภอปงประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น 9 แห่ง ได้แก่

  •  เทศบาลตำบลงิม ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลงิม เทศบาลตำบลปง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลปงและบางส่วนของตำบลนาปรัง
  •  เทศบาลตำบลแม่ยม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลปง) องค์การบริหารส่วนตำบลควร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลควรทั้งตำบล                      
  •   องค์การบริหารส่วนตำบลออย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลออยทั้งตำบล                     
  •  องค์การบริหารส่วนตำบลงิม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลงิม (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลงิม)
  •  องค์การบริหารส่วนตำบลผาช้างน้อย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลผาช้างน้อยทั้งตำบล         
  •  องค์การบริหารส่วนตำบลนาปรัง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาปรัง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลปง)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลขุนควร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลขุนควรทั้งตำบล

อ้างอิงจาก :
https://th.wikipedia.org/wiki/
                       http://www.phayao.go.th/pyodetail.php?p=detail

ประวัติ


อำเภอปง จังหวัดพะเยา
 แอ่วเมืองปง
ตัวเมืองปง

ประวัติและที่มา
          ประวัติ อำเภอปงมีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพะเยาเดิมเป็นกิ่งอำเภอ เรียกว่ากิ่งอำเภอปง ขึ้นอยู่กับอำเภอเชียงคำ จังหวัดเชียงราย ต่อมาเมื่อปี พ.. 2456 ได้รับประกาศฐานะเป็นอำเภอปง และได้โอนไปขึ้นกับ จังหวัดน่าน ต่อมาเมื่อปี พ.. 2463 ได้เปลี่ยนชื่อจากอำเภอปงเป็น อำเภอบ้านม่วง และต่อมาเมื่อปี พ.. 2486 กระทรวงมหาดไทย ได้ปรับปรุงท้องที่ต่างๆทั่วประเทศ ก็ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอบ้านม่วง มาเป็นอำเภอปงอีกครั้งหนึ่งทั้งนี้เพื่อให้ตรงกับชื่อของตำบลซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอปง ต่อมาเมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ 2496 กระทรวงมหาดไทยได้โอนพื้นที่การปกครองอำเภอปง ขึ้นอยู่กับจังหวัดน่าน ไปขึ้นอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดเชียงรายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 20สิงหาคม 252 ได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดพะเยา และได้โอนอำเภอปง จากการปกครองของจังหวัดเชียงราย ให้มาขึ้นอยู่ในปกครองของจังหวัดพะเยา จนถึงปัจจุบัน


พิธีตั้งเสาหลักเมือง
ที่มา
          ที่มาของคำว่าเมืองปงคือการขอปลงโทษหรือสมาโทษของพญานาคต่อพระพุทธเจ้าซึ่งต่อมาได้มีการสร้างพระธาตุดอยหยวกและสร้างเมืองขึ้นเรียกว่าเมืองป๋ง หรือเมืองปงตามตำนานของพระธาตุดอยหยวก ” เมืองปงหรืออำเภอปง ห่างจากตัวจังหวัดพะเยาประมาณ 80 กิโลเมตร ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด ปลูกใบยาสูบ และพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ   สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ อ.ปง ได้แก่ วัดพระธาตุดอยหยวก อุทยานแห่งชาติภูลังกา ถ้ำผาตั้ง หาดน้ำดัง และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง  ที่สำคัญอำเภอปงแห่งนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำยมแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวชุมชนหลายๆ ชุมชน และตอนนี้เมืองปงยังมีมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิต ยังมีความงดงามของศิลปวัฒนธรรม  ผู้คนยังเคารพต่อธรรมชาติอยู่อย่างเกื้อกูลพึงพาอาศัยกันด้วยไมตรีจิตรเหมือนพี่เหมือนน้องเป็นเมืองที่ยังไม่โดนสังคมเมืองกลืนผู้คนยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา





คำขวัญ
พระธาตุดอยหยวกคู่เมือง     นามลือเลื่องภูลังกา
รักสัตว์ป่าดอยผาช้าง              ถ้ำผาตั้งตระการตา
ตาดซาววางามล้ำเลิศ             แหล่งกำเนิดแม่น้ำยม

แหล่งเรียนรู้



โครงการหลวงปังค่า




      ปี  พ.ศ. 2530 มูลนิธิโครงการหลวงได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่าขึ้น เริ่มต้นโดยกรมพัฒนาที่ดินดำเนินการบุกเบิกพื้นที่ จัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ จัดสรรพื้นที่ทำมาหากินให้แก่ราษฎร  จากนั้นส่งเสริมให้ปลูกไม้ผลเมืองหนาวศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า สูงจากระดับน้ำทะเล 640 เมตร  พื้นที่รับผิดชอบ 22,505 ไร่ ประกอบด้วยชาวเขาเผ่าเย้าและม้ง
ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะพื้นที่เป็นเนินเขาและภูเขาสูง 
ลำน้ำสายสำคัญ คือ ลำน้ำคะ และลำน้ำเงิน


ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า

กิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ชมแปลงดอกไม้ เช่น เยอบีร่า กุหลาบและแปลงผักตามฤดูกาล ชมสวนลิ้นจี่บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ สัมผัสวิถีของชนเผ่าม้งและเย้า ชมศูนย์วัฒนธรรมชาวเขา และสามารถเลือกซื้อหัตถกรรมชาวเขา อาทิ การทำผ้าพิมพ์ลายของชาวบ้านสิบสองพัฒนา การปักผ้า และทำของที่ระลึกจากผ้าปัก การทำเครื่องเงิน การทำแคนและสมุนไพรรักษาโรค นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ เช่น ชมดอยภูลังกาเดินป่าในเส้นทางน้ำตกขุนน้ำต้มและดูนก



ชนเผ่าเย้า


จุดเด่น ของชนเผ่าเมี่ยน (เย้า)
   บ้านปางค่าใต้  ต.ผาช้างน้อย อ.ปง จ.พะเยา ได้แก่ พาสปอร์ตที่ยาวที่สุดในโลก
(ปัจจุบันในพื้นที่โครงการหลวงมีชาวเมี่ยนอาศัยอยู่ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า อ.ปง จ.พะเยา)

    การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้นทางอำเภอดอกคำใต้ อำเภอจุน อำเภอเชียงคำ จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1179 เลี้ยวขวาบริเวณกิโลเมตรที่ 8 แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1148 (เชียงคำ-น่าน) จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายบริเวณกิโลเมตรที่ 9 ให้ตรงไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จนถึงศูนย์ฯ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง การเดินทางที่จะขึ้นดอยภูลังกาต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น

อ้างอิงจาก :http://www.touronthai.com/.html





ประเพณีและวัฒนธรรม


     การส่งเคราะห์บ้าน

พิธีส่งเคราะห์บ้าน
       การส่งเคราะห์บ้าน เป็นความชื่อของชาวล้านนาโดยชาวล้านนาได้ให้ความหมายว่า เป็นการส่งให้แก่ท้าวเวสสุวัณณ์ ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในหมู่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย จะปัดเป่าเอาสิ่งไม่ดีออกไปจากหมู่บ้าน และเป็นท้าวโลกบาลผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลรักษาโลกให้เป็นปรกติสุข  นิยมทำกันในช่วงหลังวันพญาวัน หรือวัน 13 เมษายนของทุกปี เรียกว่า “วันปากปี๋” ซึ่งทุกคนจะมีดอกไม้ ธูปเทียน ขนม ผลไม้ หมาก เมี่ยง บุหรี่ ของคาวหวาน แล้วทุกคนก็จะช่วยกันทำสะตวง ช่วยกันแต่งดาสะตวง และทุกคนก็จะเอาของที่แต่ละบ้านเตรียมมาเอามารวมกัน จากนั้นทุกคนทุกหลังคาเรือนนำเสื้อผ้า ที่ใช้เป็นประจำของคนในบ้านไปเข้าพิธี โดยการพับวางซ้อนกัน ปู่จารย์(มัคนายก)ผู้ประกอบพิธียกสะตวงวางทับเสื้อผ้า แล้วกล่าวคำโอกาสสะเดาะเคราะห์ เมื่อจบแล้วยกสะตวงออก ปู่จารย์หยิบผ้าทุกชิ้นสะบัดใส่สะตวง ทำดั่งกับให้สิ่งไม่ดีตกลงไปในสะตวง จากนั้นนำสะตวงออกไปวางไว้ข้างถนนหรือทางแยก

 
    ตานสลาก 


 ตานสลาก
ขันสลาก

    ตานสลาก   ประเพณีตานก๋วยสลากหรือ ตานสลาก  กิ๋นข้าวสลาก กิ๋นก๋วยสลาก  กิ๋นสลาก เป็นชือเรียกของประเพณีสลากภัต ของชาวล้านนาเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งถือว่าเป็นงานบุญใหญ่เป็นการทำบุญโดยไม่เจาะจงว่าจะถวายสิ่งของและปัจจัยที่ตนนำมาให้กับใครโดยเฉพาะ ประเพณีตานก๋วยสลากเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน  ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับประเพณีตานก๋วยสลากว่า มีนางยักษิณีตนหนึ่งมักจะเบียดเบียน ผู้คนอยู่เสมอครั้นได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว นางก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธานิสัยใจคอที่โหดร้ายก็กลับเป็นผู้เอื้ออารีแก่คนทั่วไปจนผู้คนต่างพากันซาบซึ้งในมิตรไมตรีของนางยักษิณีตนนั้น
ถึงกับนำสิ่งของมาแบ่งปันให้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ได้รับมีจำนวนมาก นางยักษิณีจึงนำสิ่งของเหล่านั้นมาทำเป็นสลากภัต แล้วให้พระสงฆ์ สามเณร จับสลากด้วยหลักอุปโลกนกรรม  คือสิ่งของที่ถวาย มีทั้งของของมีราคามากและมีราคาน้อยแตกต่างกันไปตามแต่โชคของผู้ได้รับ การถวายแบบจับสลากของนางยักษิณีจึงนับเป็นครั้งแรกของประเพณีทำบุญสลากภัตในพุทธศาสนา
       ประเพณีตานก๋วยสลากมักนิยมจัดขึ้นตั้งแต่เดือน 12 เหนือถึงเดือนยี่เหนือหรือตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี สาเหตุที่ถือปฏิบัติกันเช่นนี้ก็เพราะว่า เป็นช่วงที่ชาวบ้านได้ทำนากันเสร็จแล้ว หยุดพักผ่อน พระสงฆ์ก็จำพรรษาอยู่วัดไม่ได้ไปไหน  ก่อนจะถึงวันตานก๋วยสลากหนึ่งวันจะเรียนวันนี้ว่า “วันดา”  วันดาเป็นวันแต่ละบ้านจัดเตรียมสิ่งของเพื่อใส่ในก๋วยสลาก ผู้ชายจะตัดไม้มาจักตอกสานก๋วย (ชะลอม) ไว้หลายๆใบตามศรัทธาและกำลังทรัพย์ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปบางบ้านก็จะนำถังน้ำหรือตะกล้าพลาสติกมาแทนก๋วย(ชะลอม) ฝ่ายหญิงจะจัดเตรียมสิ่งของที่จะนำมาบรรจุในก๋วย เช่นข้าวสาร พริกแห้ง หอม กระเทียม เกลือ กะปิ น้ำปลา ขนม เมี่ยง บุหรี่ ไม้ขีดไฟ เทียนไข สีย้อมผ้า ผลไม้ รวมทั้งเครื่องใช้ต่าง ๆ แล้วบรรจุลงในก๋วยสลากที่กรุด้วยใบตอง ใบหมากผู้หมากเมียใส่ยอด” คือธนบัตร ผูกติดไม้ เสียบไว้ในก๋วยให้ส่วนยอดหรือธนบัตรโผล่มาแล้วรวบปากก๋วยสลากตกแต่งด้วยดอกไม้ “ยอด” หรือธนบัตรที่ใส่นั้นไม่จำกัดว่าเป็นจำนวนเท่าใด 



               ส่วนสลากโชคหรือสลากก๋วยใหญ่ ของที่นำบรรจุในก๋วยเช่นเดียวกับสลากน้อยแต่ปริมาณมากกว่าหรือพิเศษกว่า สมัยก่อนจะทำเป็นรูปเรือหลังเล็กมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น หม้อข้าว หม้อแกง ถ้วยแกงถ้วยชาม เครื่องนอน เครื่องนุ่งห่ม อาหารสำเร็จรูปใส่ไว้ด้วย มีต้นกล้วย ต้นอ้อยผูกติดไว้ “ยอด” หรือธนบัตรจะใส่มากกว่าสลากน้อย ก๋วยสลากทุกอันต้องมี “เส้นสลาก” ซึ่งทำจากใบลานหรือปัจจุบันใช้กระดาษมาตัดเป็นแผ่นยาวๆ เขียนชื่อเจ้าของไว้ และยังบอกอีกว่าจะอุทิศไปให้ใคร เช่น ” สลากข้างซองนี้ หมายมีผู้ข้า นาย… นาง ขอทานไปถึงกับตนภายหน้า ” หมายถึงถวายทานเพื่อเป็นกุศลแก่ตนเองเมื่อล่วงลับไป และอีกแบบหนึ่ง คือสลากข้าวซองนี้ หมายมีผู้ข้านาย…..นาง…..ขอทานไปถึงยังนาย/นาง….(ชื่อผู้ตาย) ผู้เป็น…….(ความเกี่ยวข้องกับผู้ให้ทาน)   ที่ล่วงลับ ขอให้ไปรอดไปถึงจิมเต่อ” หมายถึงอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ในวันดาสลาก  วันนี้จะมีญาติสนิทมิตรสหายที่อยู่ต่างบ้านจะหอบหิ้วสิ่งของทั้งของกินของใช้หรือปัจจัยมาร่วมจัดดาสลาก เจ้าบ้านก็จะทำสารพัดกับข้าว สารพัดอาหารมาต้อนรับซึ่งอาหารหนึ่งเมนูที่มักจะนิยมทำกันในแต่ละบ้านในโอกาสพิเศษแบบนี้ก็ตองเป็นเมนูลาบ  และก็ใช้โอกาสเวลานี้เป็นการพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบกันเสียงหัวเราะ เสียงหยอกเย้า เสียงจ๊อยเสียงซอ เสียงเพลง ก็ดังออกมาจากแต่ละบ้านทำให้บรรยากาศดาสลากสนุกสนาน




     พอถึงวันตานสลากแต่ละบ้านจะนำก๋วยสลากที่จัดทำแล้วไปวัด และเอาเส้นสลาก” ทั้งหมดไปรวมกันที่หน้าพระประธานในวิหาร จะมีการฟังเทศน์ฟังธรรม และแต่ละบ้านจะนำเส้นสลากมารวมกันแล้วแบ่งเส้นสลากทั้งหมด เป็น 3 ส่วน(กอง) ส่วนหนึ่งเป็นของพระเจ้า (คือของวัด)อีก 2 ส่วนเฉลี่ยไปตามจำนวนพระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาร่วมในงานทำบุญ หากมีเศษเหลือมักเป็นของพระเจ้า (วัด) ทั้งหมด พระภิกษุสามเณรเมื่อได้ส่วนแบ่งแล้ว จะยึดเอาชัยภูมิแห่งหนึ่งในวัดและออกสลากคือ อ่านชื่อเส้นสลากดังๆ หรือให้ลูกศิษย์ ที่ได้ตะโกนตามข้อความที่เขียนไว้ในเส้นสลาก หรือเปลี่ยนเป็นคำสั้นๆเช่น ศรัทธา นายแก้ว นามวงศ์ มีนี่เน้อ ” บางรายจะหิ้ว “ก๋วย” ไปตามหาเส้นสลากของตนตามลานวัดเมื่อพบสลากของตนแล้วจะเอาสลากของตนถวายพระ พระจะอ่านข้อความในเส้นสลากและอนุโมทนาให้พร  ประเพณีตานก๋วยสลากเป็นประเพณีดีงามที่ชาวล้านนาปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านานเป็นประเพณีที่แสดงความกตัญญูต่อญาติมิตรผู้ล่วงลับ สร้างความสามัคคีกันของคนในหมู่บ้านรวมถึงหมู่บ้านใกล้เคียง อีกทั้งเป็นการหาเงินและวัสดุมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดเป็นการ บริจาคทานที่ถือว่ามีอานิสงส์มาก ซึงเป็นประเพณีที่เราควรต้องอนุรักษ์และร่วมสืบทอดต่อๆ ไป 
  





    ปักตุง

ปักตุงปีใหม่


        “ตุง ในภาษาถิ่นล้านนา ซึ่งภาษาไทยกลาง เรียกว่า ธงตุงเป็นสิ่งที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในงานพิธีทางพุทธศาสนา ทั้งในงานมงคลและอวมงคลต่างๆ โดยมีขนาดรูปทรงและการใช้วัสดุตกแต่งที่แตกต่างกันไป ตามความเชื่อและพิธีกรรม ตลอดจนตามความนิยมในแต่ละท้องถิ่น จุดประสงค์ของการทำ  ตุงและการตานตุงในล้านนาก็คือ การทำถวายเป็นพุทธบูชา ชาวล้านนาถือว่าเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือถวายเพื่อเป็นปัจจัยส่งกุศลให้แก่ตนไปในชาติหน้า  




       ชาวล้านนาจะทำการตานตุงในงานประเพณีต่าง ๆ เช่น งานปีใหม่ หรือประเพณีสงกรานต์ของ ประชาชนจะทำเครื่องสักการะ คือ ธูป น้ำส้มป่อย ตุงและ ช่อตุงหรือธุง อันเป็นเครื่องสักการะ มี 4 ประเภท คือ ตุงเดี่ยว หรือตุงค่าคิง สำหรับบูชาแทนตนเอง ตุงไส้หมู บูชาพระเจดีย์ พระธาตุทั้งหลาย ตุงไจยถวายบูชาพระพุทธรูป เพื่อสร้างความสวัสดีมีชัย และช่อหรือธงชัย สำหรับปักเครื่องบูชาต่าง ๆตุงจัดเป็นเครี่องสักการะของล้านนาไทย ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน การตานตุงก็ยังมีความสำคัญสำคัญผูกพันกับความศรัทธาของชาวล้านนา นอกจากนั้นก็ยังมีความสำคัญในการแห่แหนหรือการประดับประดาเพื่อเฉลิมฉลองงานการท่องเที่ยว จึงถือได้ว่าการตานตุงนั้นเป็นพิธีกรรมและความเชื่อที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของชาวล้านนาที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เพื่อสืบทอดให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไ




อาหารพื้นบ้าน



  ไข่ป่าม

ไข่ป่าม

    ไข่ป่ามเป็นอาหารพื้นบ้านภาคเหนือทำจากไข่ไก่ปรุงรสนำมาใส่กระทงใบตองแล้วนำไปปิ้งไฟ ขอบอกเลยว่ารสชาติแสนอร่อยมีกลิ่นหอมของใบตองนิดๆ เพิ่มความอร่อยให้กับเมนูไข่  "ไข่ป่าม เป็น
 อาหารพื้นบ้านภาคเหนือตี่ดูแสนธรรมดาแต่ขอบอกว่าแสนจะอร่อย"
 วัตถุดิบและเครื่องปรุง
1. ไข่ไก่ หรือไข่เป็ด
2. กระเทียม
3. หอมแดงหั่น
4. พริกสด (แล้วแต่ความชอบ)
5. ต้อหอมซอย
6. น้ำปลา ซิอิ้ว หรือเกลือปรุงรส (แล้วแต่ความชอบ)

วิธีทำ
     วิธีการทำไข่ป่ามในแต่ละพื้นที่ก็มีความแตกต่างกันไป  บางพื้นที่ก็ไม่โขลกพริกกระเทียมแต่ใช้การซอยเป็นชิ้นเล็กๆ  บางพื้นที่ก็ใส่แต่ต้นหอมกับหัวหอมซอยแล้วปรุงรสด้วนเกลือ น้ำปลา หรือซิอิ้วก็แล้วแต่ความชอบและการประยุกต์ แต่ผมขอบอกว่าเสน่ห์ของไข่ป่ามคือกลิ่นหอมของใบตองเวลานำไปย่างไฟที่ซึมเข้าไปในเนื้อไข่ทำให้ไข่มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน  แต่สำหรับบางคนไม่สะดวกในการนำกระทงใบตองไปย่างไฟก็มีการประยุกต์ใช้กระทะทำกับข้าว โดยนำใบตองมาวางไวบนกระทะประมาณสามสี่ชั้นแล้วเทไขที่ปรุงรสแล้วลงไปย่างบนเตาแก๊สด้วยไฟอ่อนๆหาฝาหม้อมาปิดทิ้งไว้ประมาณสิบห้านาทีไข่ก็สุกก็ถือว่าเป็นไข่ป่ามประยุกต์  





ข้าวหนึกงา



ข้าวหนึกงา
    ข้าวหนึกงา เป็นอาหารพื้นบ้านพื้นเมืองหรือสำหรับบางคนก็เป็นของกินเล่น ที่มักนิยมทำกินกันในช่วงฤดูหนาว ซึ่งวิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และมีปรธโยชน์ด้วย โดยนำข้าวเหนียว (นิยมนำข้าวเหนียวที่ยังร้อน ๆ อุ่น ๆ มาทำ ) มาผสมคลุกเคล้ากับงาที่โขลกละเอียด (คำว่า “หนึก” เป็นคำเมืองแปลว่าผสมคลุกเคล้านวดให้เข้ากัน) ใส่เกลือเล็กน้อย เท่านี้ก็ได้ “ข้าวหนึกงา” ที่แสนจะอร่อยไว้กินเล่นในวันอากาศหนาว ๆ






 
 ผักหม(ผักโขม)

   ผักหม(ผักโขม)ผักพื้นบ้านขึ้นอยู่ทั่วไปตามแหล่งธรรมชาติเช่น ป่าละเมาะ ริมทาง ชายป่าที่รกร้าง ในบริเวณสวนผัก สวนผลไม้ ไร่นาของชาวบ้าน ผักหมมีคุณค่าทางด้านสารอาหารมากมายมีโปรตีนสูงและที่สำคัญสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย “แก๋งผักหมบางคนนิยมรับประทานกับพริกแห้งทอดเป็นเครื่องเคียง เป็นอาหารพื้นบ้านที่อร่อยได้กลิ่นอายความเป็นพื้นบ้าได้อย่างชัดเจน
วัตถุดิบและเครื่องปรุง
1.ผักหม
2.ข่าหั่นเป็นแว่น
3.ไข่ไก่หรือไข่เป็ด
4.พริก
5.กระเทียม
6.ปลาร้า
7.กะปิ
8.เกลือปรุงรส
วิธีทำ
1.โขลกพริก กระเทียม ปลาร้า กะปิ ให้ละเอียด
2.ตั้งน้ำให้เดือด
3.ใส่ข่าหั่นลงไป
4.ใส่พริกแกงคนให้ละลายน้ำ
5.ใส่ผักหมลงไป
6.ใส่ไข่ไก่หรือไข่เป็ดคนให้ไข่แดงแตกเล็กน้อย
7.ปรุงรสด้วยเกลือ
8.เมื่อไข่และผักสุกตักพร้อมเสริฟ
  

 บ่าก่อ,บ่าก่อหิน

บ่าก่อหิน, เกาลัดเมืองไทย
    บ่าก่อ,บ่าก่อหิน (เกาลัดเมืองเหนือ)เป็นผลไม้ป่าที่ผลิดอกออกผลและร่วงหล่นในช่วงปลายฝนต้นหนาว ลักษณะของผลด้านนอกจะเป็นหนามแหลมแข็งส่วนเมล็ดด้านในจะมีเปลือกแข็งห่อหุ้ม เนื้ออ่อนไว้ รสชาติหวานมันคล้ายเกาลัด


แอปเปิ่ลเมือง  

แอปเปิลเมือง

  แอปเปิ่ลเมือง หรือลูกน้ำนมในภาษากลาง หรือบักยางในภาษาอีสานเป็นไม้ยืนต้น ใบเดี่ยว ยาวรี หน้าใบเป็นมัน เขียวเข้ม หลังใบเป็นสีเหลืองทอง  ดอกออกเป็นช่อ ตามซอกใบ สีเขียวอมเหลือง หรือชมพูอมขาว กลิ่นหอม ผลทรงกลม มีทั้งพันธุ์สีเขียว พันธุ์สีม่วงแดง พันธุ์เปลือกเขียว เนื้อสีขาว ส่วนพันธุ์เปลือกม่วง เนื้อสีขาวอมม่วง รสหวานหอม เมล็ดสีน้ำตาลอ่อน กินเป็นผลไม้สด ผลของมีสารต้านอนุมูลอิสระ เปลือกต้นเป็นยาบำรุงและยาชูกำลัง ยาต้มจากเปลือกใช้เป็นยาแก้ไอ 
      แอปเปิ่นเมืองจะเริ่มออกผลในช่วงเดือนพฤศจิกายนและผลจะเริ่มสุกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี รสชาติหวานมัน อร่อย  ผู้เขียนยังจำได้ว่าในสมัยยังเป็นเด็กนั้นมักจะเห็นแอปเปิ่ลเมืองมีอยู่แทบทุกบ้านในชุมชน ในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูจากหนาวเข้าสู่ฤดูร้อนแอปเปิ่ลเมืองเริ่มสุก ในช่วงนี้เราเห็นภาพเด็กๆ ปีนป่ายเก็บกินลูกแอปเปิ่ลเมือง บ้างก็อยู่ด้านล่างของต้นใช้ไม้สอย บางรายก็เอาไม้ขว้างให้ลูกแอปเปิ่นให้ตกลงมา  เป็นอีกหนึ่งสีสันในฤดูร้อนกับความสนุกสนานของเด็กๆ  แต่ในปัจจุบันต้นแอปเปิ่ลเมืองเริ่มมีให้เห็นน้อยลง หลายต้นได้ถูกตัดโค่น ไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของวิถีนชีวิต หลายคนไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าแอปเปิ่ลเมืองหน้าตาเป็นอย่างไร ภาพของเด็กๆ ที่เคยปีนป่ายเก็บผลแอปเปิ่นไม่มีให้เห็นในสังคมปัจจุบัน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่วิถีชีวิตของผู้คนกับแอปเปิ่ลเมืองเริ่มเลือนหายไปจากสังคมบ้านเรา คงเหลือทิ้งไว้เพียงเรื่องราวในความทรงจำของผู้คนกับต้นแอปเปิ่ลในสมัยเยาว์วัย



อ้างอิงจาก:http://www.phayao108.com/category/